เมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2558 เวลา 10.00 น. ศาสตราจารย์ ดร.สุจินต์ จินายน อธิการบดีมหาวิทยาลัยนเรศวร เป็นประธานเปิดการแถลงข่าว “ก้าวสู่ 1 ทศวรรษ มูลนิธิโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร” ณ โถงชั้น 1 อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบ พระชนมพรรษา 1 คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
โดยผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายแพทย์ศิริเกษม ศิริลักษณ์ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ กล่าวรายงานวัตถุประสงค์ของการแถลงข่าวดังนี้ “มูลนิธิโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ก่อตั้งขึ้น เมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2549 มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาและวิจัยด้านแพทยศาสตร์ ส่งเสริมการรักษาป้องกันโรค สร้างเสริมสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือ ภารกิจช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้
ในโอกาสก้าวสู่ 1 ทศวรรษ ในปีนี้มูลนิธิโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ดำเนินโครงการสำเร็จไปแล้วจำนวน 2 โครงการ และขอรายงานผลการดำเนินงานโดยสังเขปดังนี้
ได้รับเงินบริจาค 3,628,356 บาท (สามล้านหกแสนสองหมื่นแปดพันสามร้อยห้าสิบหกบาทถ้วน) มีค่าใช้จ่าย 3,135,683 บาท (สามล้านหนึ่งแสนสามหมื่นห้าพันหกร้อยแปดสิบสามบาทถ้วน) คงเหลือเงินสำหรับซื้อเครื่องมือแพทย์ ได้แก่ เครื่องวัดระดับความอิ่มตัวของออกซิจนในเลือด และวัสดุสำหรับใช้ในหอผู้ป่วยวิกฤต เป็นเงิน 492,673 บาท (สี่แสนเก้าหมื่นสองพันหกร้อยเจ็ดสิบสามบาทถ้วน)
2. โครงการคอนเสิร์ตการกุศล “ต่อลมหายใจ” เพื่อจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจให้โรงพยาบาลมหาวิทยาลัยนเรศวร จัดขึ้นเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 สรุปผลการดำเนินงานดังนี้ มีนิสิตและคณาจารย์ เจ้าหน้าที่จิตอาสากว่า 200 คน ทั้งคณะแพทยศาสตร์ คณะมนุษยศาสตร์ บุคลากรภายนอกได้เรียนรู้การทำงานผ่านกิจกรรมทางดนตรี การจัดนิทรรศการ การประสานงาน และการทำงานร่วมกับผู้อื่น เพื่อผู้ป่วย ด้วยจิตใจที่มีเมตตาเห็นประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นที่ตั้ง ได้รับเงินบริจาคจากการจำหน่ายบัตรคอนเสิร์ตและเงินบริจาคสมทบ เป็นเงิน 2,231,270 บาท (สองล้านสองแสนสามหมื่นหนึ่งพันสองร้อยเจ็ดสิบบาทถ้วน) หักค่าใช้จ่าย 666,048 (หกแสนหกหมื่นหกพันสี่สิบแปดบ้านถ้วน) สามารถจัดซื้อเครื่องช่วยหายใจและอุปกรณ์ส่วนควบ มูลค่า 1,600,000 บาท (หนึ่งล้านหกแสนบาทถ้วน) ได้จำนวน 1 เครื่อง ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
เมื่อโครงการนี้แล้วเสร็จจะเกิดประโยชน์อย่างยิ่งแก่ผู้ป่วย ที่เห็นเด่นชัดคือรูปร่างและเค้าโครงของใบหน้าที่ดีขึ้น การพูด การได้ยิน การกลืน ปัญหาเกี่ยวกับฟัน การสบฟัน รวมถึงพัฒนาการและการเจริญเติบโต จะดีขึ้นไปพร้อมๆกัน ทำให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในสังคมเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติต่อไป